เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงไม่รู้จักเจ้ายาตัวนี้อย่างเพียงพอ หากตัดสินเพียงเพราะจากชื่อเท่านั้นล่ะก็นับว่าคิดผิด เพราะยาขับปัสสาวะนั้นเป็นยาที่ผู้ใช้ต้องทำความรู้จักให้ดีก่อนเริ่มใช้งาน เพราะเป็นยาที่มีชื่อขับปัสสาวะ แต่จุดประสงค์หลักกลับไม่ได้เอามาใช้เพื่อง่ายต่อการขับปัสสาวะเท่านั้น แต่ยังใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย โดยสามารถติดตามรายละเอียดได้ภายในบทความนี้

ยาขับปัสสาวะ คืออะไร

ยาขับปัสสาวะเป็นยาที่มีคุณสมบัติโดยตรง คือ ช่วยในการขับถ่ายปัสสาวะ แต่จุดประสงค์หลักจริง ๆ ที่ได้จากยาตัวนี้ คือ การออกฤทธิ์ในการขับถ่ายของเหลวส่วนเกินในร่างกายออกมาจากทางปัสสาวะ เช่น โซเดียม ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ร่างกายต้องเผชิญกับอาการบวมน้ำ รวมถึงความดันสูง ดังนั้นจุดประสงค์หลักของยาขับปัสสาวะ คือ การบรรเทาและรักษาอาการแทรกซ้อนในร่างกาย ผ่านรูปแบบการปัสสาวะนั่นเอง

ยาขับปัสสาวะจำเป็นอย่างไร

ปัจจุบันยาขับปัสสาวะ ไม่ได้เอาไว้ใช้สำหรับผู้ป่วยที่กำลังประสบปัญหาปัสสาวะขัดเพียงอย่างเดียว แต่สำหรับทางการแพทย์แล้ว ยาขับปัสสาวะนับว่ามีประโยชน์และมีความจำเป็นอย่างมาก เพราะสามารถใช้ในผู้ป่วยเพื่อบรรเทาอาการโรคต่าง ๆ เช่น โรคไต, นิ่วในไต, ตับวาย รวมถึงโรคหัวใจวายและภาวะความดันโลหิตสูงอีกด้วย โดยตัวยาจะไปออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของไตและขับโซเดียม รวมถึงน้ำในร่างกาย เช่น ปัสสาวะออกไปพร้อม ๆ กัน เพราะการระบายโซเดียมส่วนเกินออกมาจะทำให้ร่างกายลดอาการบวมได้และสามารถบรรเทาผู้ป่วยโรคดังกล่าวได้ดี

ข้อควรรู้เกี่ยวกับยาขับปัสสาวะ

  • การใช้ยาชนิดนี้ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ เพราะเป็นยาที่ส่งผลต่อร่างกายโดยตรงและทันที
  • หากผู้ใช้ยามีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้ง
  • ผู้ที่มีประวัติโรคไตหรือโรคเก๊า ควรเลี่ยงยาชนิดนี้
  • สตรีมีครรภ์ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้ยา
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำ ไม่ควรใช้ยาขับปัสสาวะ

หากจำเป็นต้องใช้ยาขับปัสสาวะ !

  • ยาขับปัสสาวะปัจจุบันมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ เม็ด, น้ำ และฉีด การใช้ยาตัวนี้ควรปรึกษาแพทย์เสียก่อน เพื่อปริมาณในการใช้ยาอย่างเหมาะสม
  • ในระหว่างที่รับประทานยาขับปัสสาวะ ควรหาเครื่องวัดค่าแร่ธาตุในร่างกายสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจจะส่งผลทำให้ร่างกายขาดโซเดียมที่จำเป็นได้
  • หากต้องรับประทาน แนะนำรับประทานช่วงเช้า หลีกเลี่ยงตอนกลางคืน เพราะตัวยาจะส่งผลทำให้ผู้รับประทานต้องลุกมาขับปัสสาวะอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นแนะนำรับประทานวันละ 1 ครั้ง
  • หากรับประทานยาอยู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมสูง หรืออาหารประเภทรสจัดหรือเค็ม เพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูร่างกายหลังรับประทานยา
  • หากรับประทานยาขับปัสสาวะแล้วกังวลเกี่ยวกับความดัน สามารถทานยาร่วมกันได้ เช่น กลุ่มยาประเภทรักษาภาวะความดันโลหิตสูง

ยาขับปัสสาวะก็มีข้อเสียเหมือนกัน !

ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนต้องอยู่ในระดับพอดีทั้งสิ้น เช่นกันที่ยาขับปัสสาวะก็เหมือนยาทั่ว ๆ ไป หากรับยาขับปัสสาวะอย่างสม่ำเสมอหรือรับยาเกินขนาด ย่อมต้องเจอผลข้างเคียง ดังนี้

  • ร่างกายมีโอกาสขาดแร่ธาตุสูง เนื่องจากระดับโซเดียมในเลือดต่ำผิดปกติ (ผลของยา)
  • เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ กระหายน้ำบ่อยครั้ง ร่างกายเหมือนอยู่ในภาวะขาดน้ำตลอดเวลา
  • เกิดอาการผิดปกติบริเวณกล้ามเนื้อ เช่น ตะคริวและอาการผิดปกติที่เกิดบริเวณข้อ เช่น โรคเก๊าท์ เป็นต้น
  • ผื่นขึ้นผิวหนัง มีโอกาสท้องเสียและระดับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้น
  • สำหรับเพศชาย มีโอกาสที่จะประสบภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ

นอกจากอาการแทรกซ้อนข้างต้นแล้ว หากแพ้ยาขับปัสสาวะผลข้างเคียงค่อนข้างอันตรายมาก เช่น เสี่ยงต่อหัวใจเต้นผิดปกติ หรืออาจเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน และส่งผลทำให้ร่างกายประสบปัญหาสุขภาพได้ทันที ดังนั้นหลังจากใช้ยาขับปัสสาวะ  หากพบอาการผิดปกติรุนแรง ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยเพราะมีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้

ยาขับปัสสาวะนับว่าเป็นยาที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์โดยตรง เนื่องจากเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อร่างกาย สามารถขับโซเดียม รวมถึงของเหลวออกมาจากร่างกายได้ ดังนั้นจำเป็นมากที่ผู้ใช้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนนำเข้าร่างกาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคไต โรคความดัน และโรคหัวใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายาขับปัสสาวะก็นับว่ามีประโยชน์เช่นกัน เพราะสามารถนำมาป้องกันและบรรเทาผู้ป่วยโรคอันตรายต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ, โรคไต และโรคความดันได้อีกด้วย ดังนั้นถ้ายาดีและต้องรู้จักใช้ มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำจึงจะมีประสิทธิผลมากที่สุด